ขุดทรัพย์ที่สามกอ
เอกพันธ์ บุญฤทัย
นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมาก ที่ชาวบ้านแพนได้เคยโจทย์ขานกันเมื่อเกือบ 30 ปีมาแล้วว่าในบริเวณวัดสามกอซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โดยไม่มีหลักฐานใดๆกล่าวอ้างว่าครั้งแรกสมัยใดนั้น มีขุมทัพย์อันมหาศาลวันดีคืนดีมีผู้เฒ่าผู้แก่เห็นแสงไฟลุกโพลงแล้วมีเสียงครืดคราดเลื่อนไปเลื่อนมา บ้างก็ว่าภายในวิหารนั้นมีเรือชะลาลำใหญ่บันจุทรัพย์สินนานัปการ ใครมีบุญญาธิการอาจมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินของแผ่นดินได้ เท็จจริงประการใดลองสืบสาวอีกที เรื่อวราวการขุดทรัพย์ที่วัดสามกอนี้มีประจักษ์พยานมากมาย ท่านจะเชื่อหรือไม่นั้นก็ลองวิเคราะห์ดูก็แล้วกัน
ท่านพระอดุลธรรมเวที (ไวทย์ อินทว์โส) เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เคยชี้แจงให้ผู้เขียนและบุคคลอื่นๆให้ทราบว่าเรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลเหมือนกัน และตัวท่านก็เคยได้ยินจากปากคำของ แม่บู่ สว่างเรือง แห่งบ้านคลองทราย ปัจจุบันคือบ้านหมู่ที่ 3 ตำบลสามกอ อำเภอ เสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นมารดาของท่านพระครูพิบูลรัตนากร (วงศ์ อติทนโท) เจ้าอาวาสวัดสามกอ บัดนี้แม่บู่ สว่างเรือง ได้เสียชีวิตได้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 1 0 ปีเศษ ใครก็ทราบกันดีว่า แม่บู่ สว่างเรือง นั้นเป็นคนที่ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธศาสนา ประพฤติดีปฏิบัติชอบเสมอมาจนชีวิตสิ้นไป ลองสังเกตไปหน้าของท่านจากภาพประกอบเรื่อง จะเห็นว่ามีลักษณะพิเศษคือยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เนืองนิตย์เป็นแบบตามธรรมชาติ เสมือนเป็นบุคคลที่ปราศจากทุกข์ร้อนใดๆตรงกับภาษิตโบราณที่เคยกล่าวอ้างว่า “คนดีมีบุญ ย่อมมีใบหน้าเหมือนเครื่องบอก ส่วนคนกลีบกรอกนั้นใบหน้าไร้ราศี” ใครจะมีราศีเพียงใดนั้นก็ลองส่องกระจกดูก็จะรู้ความจริง
แม่บู่ สว่างเรือง ได้เล่าเรื่องการขุดทรัพย์ที่วัดสามกอให้แก่บรรดาลูกหลานและญาติ รวมทั้งพ่อไวทย์หรือเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่เสมอ เพราะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แม่นยำแม้แต่เมื่ออยู่ในวัยชราก็ตามเล่าทุกครั้งตรงกันเสมอ เพราะแม่บู่ สว่างเรือง มีสติมั่นคง เนื่องจากถือศีลภาวนาอยู่เป็นประจำ
ในคืนเดือนแรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ พ.ศ. 2501 ก่อนที่ท่านเข่านอนก็จะทำกิจวัตรประจำวันคือตรวจตราบริเวณที่อยู่อาศัยแล้วก็สวดมนต์ ตอนดึกนั้นขณะที่กำลังหลับสนิท ได้นิมิตฝันไปว่ามีชายชรามาบอกกล่าวให้ไปขุดทรัพย์ที่บริเวณวัดสามกอตรงกลางระหว่างต้นโพธิ์ใหญ่กับวิหารหลวงพ่อโต โดยสังเกตจากไม้ซีกปักไว้เป็นเครื่องหมาย มีข้อแม้ว่าต้องไปคนเดียวห้ามนำคนอื่นไปเป็นเพื่อนเป็นอันขาด หลังจากตื่นจากภวังค์จากความฝันแล้ว แม่บู่ สว่างเรือง ก็ตั้งสติให้มั่นคง แล้วก็พิจารณาไตร่ตรองว่าควรเชื่อได้เพียงใด เนื่องเป็นยากดึกคืนแรมฤดูหนาวน้ำท่วมย่อมมืดมนอนธกาลไปทั่ว อีกใจหนึ่งคิดไปทางกุศลว่า คงเป็นเทวดาดลใจมาบอกลาภให้ อาจเป็นทรัพย์สินที่ตนเองได้เคยสะสมไว้ในชาติปางก่อนก็ได้ จึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา และกินหมาก จึงตัดสินใจที่จะไปขุดทรัพย์ตามที่นิมิตฝันไว้ โดยที่เตรียมธูปเทียนและจอบเสียมเรียบร้อยแล้วจึงลงเรือพายไปวัดสามกอแต่ผู้เดียว
ขอขยายความเชิงเปรียบเทียบว่า ระยะทางจากบ้านคลองทรายถึงวัดสามกอราวกิโลเมตรเศษ แต่สภาพของท้องถิ่นเมื่อเกือบ 30 ปีนั้นผิดกับสภาพปัจจุบันมากมายนัก คืนแรมเดือนมืดน้ำท่วมเจิ่งนองไปทั่วทุ่งดูเวิ้งว้างและอึมครึม โดยเฉพาะในยามราตรีกาล วัดสามกอในอดีตนั้นพูดถึงครั้งใดเด็กๆ และผู้หญิงหวาดกลัวมาก ผู้ชายก็เถอะยามค่ำคืนหาได้กร่ำกรายไม่ ข่าวลือเรื่องทำนองผีดุ มีทรัพย์เคลื่อนไปมาบ้าง บาทีก็ลุกเป็นไฟโพลงทีเดียวเรื่องหมาหอนหรืองูชุมไม่ต้องพูดถึง นอกจากนี้วัดสามกอยังเป็นแดนประหารนักโทษที่อุกรรจ์อีกด้วย คือได้ประหารนายแย้ม โล๊ะ และนายขันลาว ด้วยดาบเพชฒฆาต ก่อนลงดาบประหาร หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ได้เทศนาโปรดนักโทษประหารก่อน เรื่องนี้ผู้อาวุโสของบ้านแพนได้เคยไปดู การประหารครั้งนั้นด้วย เช่น หลวงพ่อวาสน์ หรือ พระครูปริยัติคุณูปการ เจ้าอาวาสวัดบ้านแพน คุณลุงผัน ใจเสือ ตลอดจนคุณแม่เขียน เอกยะติ มารดาของผู้เขียนเรื่องนี้นั่นเอง วิหารหลวงพ่อโตทรุดโทรมมากดูทึม ๆ ชอบกล สังเกตจากภายในวิหารหลวงพ่อโตในอดีต หรือภาพชุดสามกออธิษฐานจะเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น หลวงพ่อโตนั้นเป็นพระพุทธรูปศิลาแรงคู่กับวัดสามกอมานานเท่านาน ต่อมาทางวัดสามกอได้โปกปูนและลงรักปิดทองให้สวยงาม ชาวจีนและไทยนิยมมาสักการะอยู่เสมอ ๆ ส่วนใครจะขอหวย ก.ข. หรือเปล่ามิทราบได้ เพราะสมัยนั้นผู้เขียนเป็นเด็กวัดบ้านแพน หวยเถื่อนหรือหวยสามตัวยังไม่มี วัดสามกอในปัจจุบันเป็นอย่างไรนั้น ใคร ๆ ก็ทราบกันดีว่าเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างมีความเจริญรุ่งเรืองมาก พุทธบริษัทศรัทธาเป็นอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จพระราชดำเนินถึงสองครั้งมาแล้ว ส่วนบ้านคลองทรายในสภาพปัจจุบันมีถนนสายสำคัญตัดผ่านถึงสองสายด้วยกัน ที่ดินราคาสูงลิ่วเกือบ 30 ปี ที่ดินราคาขึ้นเกือบ 100 เท่า ได้พรรณนาเปรียบเทียบสภาพของท้องถิ่นจากอดีตสู่ปัจจุบัน ขอได้ติดตามเรื่องขุดทรัพย์ต่อไป
แม่บู่ สว่างเรือง ได้พายเรือจากบ้านคลองทรายมายังวัดสามกออย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อน ยามดึกคืนแรมเดือนมืด ในเดือน 11 ย่อมหนาวเหน็บ โดยเฉพาะ แม่บู่ สว่างเรือง ซึ่งอยู่ในวัยชราจะรู้สึกเพียงใด ท่านก็หาได้ท้อถอยไม่พอเข้าเขตบริเวณวัดที่มือครึ้มไปทั่ว เงาทะมึนของแมกไม้ตลอดจนเงาของโบสถ์วิหารตลอดจนป่าช้าก็รกรุงรังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทำให้แม่บู่ สว่างเรือง ขนลุกไปทั่วสรรพางค์กาย แต่ก็พยายามสงบจิตใจให้มั่นคง พอจอดเรือแล้วก็เดินไปทางด้านพระวิหารของหลวงพ่อโต แล้วจะธูปเทียนที่เตรียมจากบ้าน พร้อมทั้งสวดมนต์ภาวนาหากเป็นบุญกุศลของข้าฯ แล้ว ขอให้นิมิตนั้นสัมฤทธิ์ผลจึงทุกประการเทอญ
หลังจากนั้นแม่บู่ ก็เดินไปยังจุดหมายตามที่นิมิต เห็นไม้ซีกปักระหว่างกลางต้นโพธิ์กับวิหารของหลวงพ่อโตทุกประการ ก็เริ่มขุดด้วยความสำรวมในอิริยาบถ ขุดได้ลึกประมาณคืบเศษก็พบวัตถุที่ยังความปิติให้แก่แม่บู่ สว่างเรือง จุดไม้ขีดดูก็รู้ว่าเป็นสร้อยสายสะพาย ก็พอดีพระตีระฆังปลุกพระตีสี่พอดี ส่วนที่รู้ว่าเป็นสร้อยสายสะพายทองคำหนักถึง 6 บาทนั้นรู้ภายหลัง เห็นว่าพระตื่นขึ้นคลองผ้าและสวดมนต์อันเป็นกิจปัญจกรรมมัฏฐานของสงฆ์ แม่บู่ สว่างเรือง จึงพายเรือไปยังกฏิของพระลูกชาย ซึ่งบวชตั้งแต่หนุ่มยังไม่ยอมสึกและเพิ่งเป็นเจ้าอาวาสใหม่ ๆ เพียงปีเดียวเท่านั้นเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง พร้อมทั้งฝากสร้อยดังกล่าวกับพระลูกชายไว้ และก็พายเรือกลับบ้านด้วยความเบิกบานและอิ่มเอิบใจในชีวิตเป็นครั้งแรก
อีกไม่นานนัก แม่บู่ สว่างเรือง ได้ทำบุญเลี้ยงพระเช้าเพื่อความสิริมงคลแก่ตนเองและอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่มาเข้านิมิตจนประสบโชคดังกล่าวข้างต้น หลวงพ่อไวทย์ หรือ พระอดุลธรรมเวที (ไวทย์ อินทวฺโล) เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสุธาโภชน์หรือวัดขนมจีน อยู่ใกล้กับวัดสามกอ ได้มาร่วมเป็นสักขีพยานด้วยองค์หนึ่ง หลังจากแม่บู่ สว่างเรือง เสียชีวิตแล้ว สร้อยสายสะพายก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุตรสาวคนโต คือ นายแสวง เมฆขยาย หากอยากทราบรายละเอียดเรื่องนี้ต่อก็สอบถามผู้ร่วมสกุล “สว่างเรือง” ได้เสมอ
เรื่องผีหรือเทวดาให้ลาภแก่บุคคลที่ประกอบแต่คุณงามความดีโดยยึดมั่นในธรรมปฏิบัติ อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่ก็เคยมีมาแล้วในอดีตกาล ซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์ธรรมบท ขุททกนิกายสมัยที่พระพุทธองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็คือ เรื่องของเทวดา กับ อนาถบิณฑเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี ย่อมพิสูจน์เกี่ยวกับเรื่องการขุดทรัพย์ดังกล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี
******************************
คัดมาจากหนังสือ สามกออนุสรณ์ ครั้งที่ 2